ประวัติศาสตร์

ภูมิประเทศ

ภูมิอากาศ

วัฒนธรรมประเพณี






























ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่และมีพื้นที่ส่วนมากอยู่ในเขต tropic of cencer อีกทั้งจีนนั้นไม่ได้มีพื้นที่กว้างใหญ่ทางเนื้อที่อย่างเดียว ยังมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายอีกด้วย จึงส่งให้จีนมีภูมิอากาศที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น  กล่าวคือ
                ในฤดูหนาว อุณหภูมิของภาคใต้และภาคเหนือมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ในภาคเหนือของจีน น้ำในแม่น้ำมักจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง แลมีหิมะตกหนักเหมือนมีอาภรณ์สีขาวปกคลุม กล่าวคือในขณะที่ชาวฮาร์บินซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือฝ่าความหนาวเข้าชม "งานบันเทิงโคมไฟแกะสลักน้ำแข็ง" ทางด้านเมืองกว่างโจวซึ่งอยู่ในภาคใต้ จะมีดอกไม้นานาพันธุ์กำลังบานสะพรั่งอยู่ ให้ผู้คนได้ชื่นชมความสวยงามอย่างมากมาย
            ในฤดูร้อน พื้นที่ส่วนใหญ่ของจีนจะมีอากาศที่ร้อนมาก และมีฝนตกชุก จึงนำประโยชน์แก่การเกษตรเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีพืชพันธุ์ที่เจริญงอกงาม พืชดอกออกผลตามที่ต้องการ รวมถึงการกระจายของปริมาณน้ำฝนในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้นมีปริมาณที่ไม่เท่ากันจากชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ไป แผ่นดินส่วนในของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ปริมาณน้ำฝนค่อย ๆ ลดน้อยลงตามลำดับ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงใต้จะมีปริมาณน้ำฝนตกค่อนข้างมาก
ภาคใต้ของจีนจะได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดจากมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นส่วนมากจึงส่งผลให้ทางชายฝั่งตะวันออกของจีนจะมีฝนตกทำให้ทางชายฝั่งตะวันออกนั้นมีอากาศร้อนชื้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือทางตอนเหนือของจีนนั้น มีฤดูร้อนไม่นานนักและไม่ร้อนจัด มีฝนตกบ้างในฤดูร้อนจึงทำให้มีภูมิอากาศที่อบอุ่น  ส่วนฤดูหนาวค่อนข้างยาวและหนาวจัด ทำการเพาะปลูกพืชผลได้เพียง  3-4 เดือน
 ภาคตะวันตกนั้น มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายติดกับมองโกเลียส่งผลให้ฤดูร้อนจะมีอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง ส่วนฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวและแห้งแล้งเช่นกัน
                ภาคกลาง ในช่วงฤดูร้อนจะมีอากาศที่ร้อนและมีฝนตกเป็นจำนวนมากเช่นกัน  โดยเฉพาะที่ราบดินเหลืองทางเหนือของแม่น้ำแยงซี จะมีฝนตกมากระหว่างเดือนกรกฎาคม- กันยายน
                ภาคตะวันออกของจีน ถือเป็นเขตลมมรสุม ส่วนใหญ่ในฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวและแห้ง ส่วนในฤดูร้อนนั้นจะมีอากาศร้อนและฝนชุก
ส่วนทะเลทรายโกบีที่มีปริมานน้ำฝนตกน้อยเนื่องจากได้อิทธิพลเงาฝนของเทือกเขา หิมาลัย ในขณะที่รู้จักกันเป็น"ทะเลทรายเย็น" เนื่องจากสามารถมองเห็น หิมะบนเนินทรายของโกบีและมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันไปส่วน ในช่วงฤดูหนาว จะมีลมเย็นจากไซบีเรียอุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆประมาณ -40 ° C (-40 ° F) ในฤดูหนาว แต่ในฤดูร้อนอุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นถึง +50 ° C (122 องศาฟาเรนไฮต์)
 ที่ราบสูงทิเบตเนื่องจากระดับความสูงจึงทำให้มีอากาศบางมากและความร้อนจึงไม่ได้ เก็บรักษาไว้ที่ระดับพื้นดิน เป็นผลให้ถึงแม้อุณหภูมิเวลากลางวันสามารถอบอุ่นในสถานที่ — 28 ° C (82 องศาฟาเรนไฮต์) — อุณหภูมิลดลงต่ำกว่าศูนย์อย่างรวดเร็วในเวลากลางคืน ภาคเหนือของทิเบตมีแนวโน้มที่จะเย็นตลอดทั้งปีและมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพียงเล็กน้อยในขณะที่ส่วนภาคใต้มีอากาศอบอุ่นกับฤดูกาลเด่นชัดมากขึ้นและ อาจพบฝนระหว่างเดือนเมษายนและกันยายน นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนทิเบตควรตระหนักว่าเพราะอากาศบางดวงอาทิตย์มี ประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่อาจเห็นและใช้ความระมัดระวังตามความเหมาะสม — เมืองหลวงทิเบต, ลาซา, เป็นที่รู้จักกันว่า"เมืองแสงแดด"ด้วยเหตุผล

 ฤดูกาลของประเทศจีนนั้นสามารถแบ่งออกเป็น

  1. ฤดูใบไม้ผลิ ประมาณช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิ10-22 องศาเซลเซียส
  2. ฤดูร้อน  ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียสและมากกว่า
  3. ฤดูใบไม้ร่วง  ประมาณช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม อุณหภูมิ 10-22องศาเซลเซียส
  4. ฤดูหนาว  ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน-กลางมีนาคม อุณหภูมิ10 องศาเซลเซียลและต่ำกว่า

ส่วนช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการจะเดินทางไปเยือนจีนนั้นคือ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนพฤษภาคม และช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณ เดือนกันยายน-ตุลาคม    
ส่วนระยะเวลาของลมมรสุมนั้นจะเป็นลมมรสุมที่ชุ่มชื้นเพราะพัดจากมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดียเข้าสู่แผ่นดิน  ลมมรสุมนี้จะเริ่มพัดเข้ามาในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงระยะเวลาที่อากาศมีความอบอุ่นซึ่งจะอยู่ในช่วงกลางๆปี ส่วนในฤดูหนาวอีกครึ่งปีนั้น จะมีลมแห้งแล้งพัดผ่านแผ่นดินไปยังทะเล ทำให้เกิดฤดูแล้งขึ้น บริเวณลุ่มน้ำแยงซีนั้นกลับได้รับประโยชน์จากลมบ้าหมูซึ่งทำให้เกิดฝนตกในฤดูหนาว

โปรแกรมทัวร์เเนะนำ